วิธีดูแลสุขภาพ ธรรมชาติบำบัด
วิธีดูแลสุขภาพ โดยใช้หลัก ธรรมชาติบำบัด ปรับสมดุลร่างกาย
( ฝึกสมาธิ ดีท็อก ล้างสารพิษ ชี่กง พลังจักรวาล )
เพื่อบรรเทา หรือ รักษาโรคต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลสุขภาพ อย่างไรให้หายจากโรค? |
![]() |
วิธีดูแลสุขภาพ เพื่อรักษาโรคให้ได้ผลดีนั้นจะต้องดูแลสุขภาพองค์รวมทั้ง สุขภาพกาย และ สุขภาพใจ ตั้งแต่การกินอาหาร ฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย ยืดเส้น ดำเนินกิจกรรมให้ถูกเวลา ๆลๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับปัจจัยที่เขาต้องการสำหรับฟื้นฟูสุขภาพ ดูแลสุขภาพอย่างไรถึงจะถูกวิธี? เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างร่างกาย DNA ความเชื่อ นิสัย กรรม บุญกุศล ความปรารถนา ๆลๆ ล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน วิธีดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับคนหนึ่ง อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง100% สิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ไม่ได้แปลว่าดีกับคุณ บางวิธีอาจจะดีสำหรับคุณในระยะสั้น แต่ไม่ดีในระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพคือ เรียนรู้ร่างกาย และ จิตใจของตัวเอง และเปิดใจพิสูจน์หาสิ่งที่ดีกับตัวคุณ ถ้าวิธีดูแลสุขภาพที่คุณทำอยู่ถูกต้อง สุขภาพองค์รวมจะต้องค่อยๆแข็งแรงขึ้น (หมอที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง) ในระหว่างฟื้นฟูสุขภาพจะมีอาการไม่สบายบ้าง เพราะเป็นกลไกในการรักษาตัวเองของร่างกาย โดยเฉพาะช่วงที่ร่างกายขับของเสียมาก หรือช่วงที่ทานอาหารประเภทดีท๊อกมาก โดยมีวิธีสังเกตุสุขภาพโดยรวมเบื้องต้นง่ายๆว่าดูแลสุขภาพถูกทางหรือเปล่า คือ นอนหลับสนิทมากขึ้น มีแรงในการดำเนินชีวิตมากขึ้น สุขภาพจิตแจ่มใส กล้ามเนื้อแข็งตึงน้อยลง ขับถ่ายง่ายไม่แข็ง ไม่เหลว รู้สึกสบาย ไม่หนักเนื้อหนักตัว ผิวไม่แห้ง ไม่มันเกิน ปากไม่แห้งแตก การไหลของเสมหะในช่องปากคอดี ไม่มากเกิน หรือ ไม่จับตัวเป็นก้อน ไม่เบื่ออาหาร ทานอาหารแล้วย่อยได้ ท้องไม่อืด ไม่มีแก๊ซสะสมในลำไส้มากเกินไป ตัวไม่ร้อนหรือเย็นเกิน และ การเต้นของหัวใจไม่เร็วและแรงจนเกินไป
|
![]() ![]() |
วิธีดูแลสุขภาพที่ถูกต้องจะต้องแก้ที่สาเหตุ คนเราเจ็บป่วยเพราะธาตุในร่างกายไม่สมดุล ในร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วย ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อากาศ เมื่อใดก็ตามที่ธาตุในร่างกายไม่ว่าจะเป็นธาตุใดมาก หรือ น้อย เกิน ก็จะแสดงความผิดปรกติออกมา ยกตัวอย่างเช่น มีก้อนเสมหะติดอยู่ที่คอ ซึ่งความเป็นปรกติของของเหลวที่คอนั้น จะต้องไหลได้แต่ไม่ไหลมากเกิน การที่มีก้อนเสมหะติดอยู๋ที่คอ เสมหะไหลไม่ได้อาจเนื่องจากมาจาก ร่างกายเย็นมีปริมาณธาตุน้ำมากธาตุไฟน้อยเกินลมจึงไม่เคลื่อน ทำให้ของเหลวไม่ไหลแต่จับตัวเป็นก้อนแทน เปรียบเสมือนน้ำเมื่อได้รับความเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งทำให้ไม่ไหล การทานอาหารหรือยาที่เข้าไปช่วยแก้ตรงนี้ อาจจะต้องเพิ่มอาหารที่มีธาตุไฟเป็นส่วนประกอบ เช่น อาหารรส เปรี้ยว เผ็ด เป็นต้น เพื่อให้ลมเคลื่อนและของเหลวไหลออกมาได้ และลดการทานอาหารที่ไปเพิ่มธาตุน้ำในร่างกายลง (แต่อย่างไรก็ตามจะรู้สาเหตุได้แน่ชัดจะต้องเช็คสุขภาพทั้งระบบ ถ้าต้องการความถูกต้องแม่นยำมีความจำเป็นที่ต้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ) |
|
หลังจากที่ร่างกายได้รับปัจจัยที่กล่าวข้างต้นแล้ว ร่างกายจะเริ่มรักษาตัวเองแบบค่อยเป็นค่อยไป สุขภาพองค์รวมจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ผมเชื่อว่าวิธีดูแลสุขภาพ ตามหลัก ธรรมชาติบำบัด สามารถบรรเทา หรือ รักษาโรคให้หายขาดได้ทุกโรค เพราะว่าเป็นการรักษาโรคที่ต้นเหตุ การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าไม่ทำตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคตอีก 10 หรือ 20 ปี ข้างหน้าคุณก็ต้องดูแลอยู่ดี ดังนั้นมาเริ่มกันเถอะครับ
|
วิธีดูแลสุขภาพ เพื่อรักษาโรค |
วิธีดูแลสุขภาพองค์รวม ที่ผมเขียนในเว็บนี้ ( ไม่พึ่งยาเคมี ) เป็นการให้ปัจจัยที่ร่างกายต้องการสำหรับฟื้นฟูสุขภาพ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และ ยังเป็นการทำบุญไปในตัวด้วย (หนึ่งในสาเหตุของความเจ็บป่วยคือ กรรมไม่ดีที่ทำใว้ในอดีต) โดยจะแบ่งการดูแลสุขภาพออกเป็น 5 หมวด คือ 1. รักษาศีล 5, ฝึกสมาธิ และ วิปัสสนา 2. กินอาหาร ปรับสมดุลร่างกาย (ควรให้แพทย์แผนไทย-จีน- อินเดีย ช่วยตรวจและปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย) 3. ช่วยร่างกายระบายสารพิษ (ดีท๊อก) 4. ดำเนินกิจกรรมให้ถูกเวลา ควรจะให้ความสำคัญทุกหมวดนะครับ เพราะร่างกายของมนุษย์ทำงานเป็นระบบ Note หลักวิธีดูแลสุขภาพที่เขียนในเว็บนี้ บางอย่างวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ดี งมงาย หรือว่าไม่มีจริง สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในศาสนาพุทธ ไม่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ผมแนะนำให้ท่านลองเปิดใจดูเพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งดีๆในชีวิตครับ
|
บทสวดมนตร์ ช่วยรักษาโรค![]() ![]() |
ฝึกสมาธิ |
เพิ่มพลังจิต พลังชีวิต จักระ ระบบไหลเวียนเลือด ลมปราณ ทำบุญ แก้กรรม |
---|
|
สวดมนต์ รักษาโรค |
|
หลักสูตรเตโชวิปัสสนา
|
เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยร่างกาย และ จิต การดูแลสุขภาพจึงต้องให้ความสำคัญกำการดูแลสุขภาพจิต สมาธิช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคได้อย่างไร ? - เนื่องจากความเจ็บป่วยเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุในร่างกาย อารมณ์ต่างๆ เช่น ความโลภ โกรธ ๆลๆ จะมีผลต่อธาตุต่างๆในร่างกาย เช่น ความโกรธ จะไปเพิ่มธาตุไฟในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สมดุล การฝึกสมาธิจะไปช่วยลดระดับอารมณ์ต่างๆ จึงมีส่วนทำให้ธาตุในร่างกายสมดุลมากยิ่งขึ้น - แต่การภาวนานั้นมีหลายเทคนิค หลายวิธี บางวิธีทำแล้วช่วยปรับธาตุในร่างกายให้สมดุล แต่บางเทคนิคไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อปรับสมดุลร่างกายแต่ทำเพื่อเข้าใจสภาวะธรรมต่างๆ ถ้าทำมากไปอาจจะจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล ดังนั้นจึงควรเข้าไปเรียนโดยตรงกับครูอาจาร์ย - การเดินสมาธิหลังรับประทานอาหารจะช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้น |
|
|
|
สำหรับผู้เริ่มฝึกเบื้องต้นไม่จำเป็นเป็นต้องทำเยอะ แต่ควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เนื่องจากสมาธิแต่ละวิธีนั้นไม่เหมือนกัน ระยะเวลาในการทำแต่ละวิธีก็แตกต่างกัน บางวิธีสามารถทำได้นาน ส่วนบางวิธีไม่ควรเกิน 30 นาที เพราะจุดบางจุดบนร่างกายไม่ควรกำหนดสมาธิลงจุดนั้นนานเกินไป จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ (การกำหนดจิตลงบนจุดแต่ละจุดบนร่างกาย มี ผลต่อ ธาตุ และ ลมปราณ แตกต่างกัน ) สมาธิบางวิธีเป็นกระแสเย็น บางวิธีเป็นกระแสร้อน ดังนั้นควรเข้าเรียนกับครูบาอาจาร์ยโดยตรง ทางกาย การรักษาศีล 5 (โดยเฉพาะศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์) การไม่เบียดเบียนสัตว์ ช่วยเหลือ และ เอ็นดูเพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ ออกกำลังกาย กินอาหารที่ถูกกับร่างกาย |

กินอาหาร ปรับสมดุลร่างกาย ★★ กินอาหารที่ย่อยง่าย วันละ 1-2 มื้อหลัก มื้อเช้า 7-9 โมง มื้อเที่ยง 12-13 ค่อยค่อยกิน เคี้ยวละเอียดๆ กินอิ่มพอดี ชนิด และ รสชาติ ของอาหารพอดีกับร่างกาย ณ ขณะนั้น ★★ |
|
อาหารแต่ละชนิดมีผลต่อร่างกายที่แตกต่างกัน ทานแล้วมีผลต่ออวัยวะแตกต่างกัน บางชนิด จะเพิ่มความร้อนให้กับร่างกาย บางชนิดเพิ่มความเย็น บางชนิดทำให้ร่างกายแห้ง ส่วนบางชนิดเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย ๆลๆ เช่น ถั่วแดงเมล็ดเล็ก มีฤทธิ์กลาง ทานแล้วมีสรรพคุณช่วยระบายความร้อนจากร่างกาย และ ทำให้ร่างกายแห้ง มีผลโดยตรงกับลำไส้เล็ก หัวใจ ไต และ กระเพาะปัสสาวะ ถ้าคนที่ร่างกายขาดน้ำ หรือ ร่างกายแห้งง่ายทานในปริมาณมากจะทำให้ป่วยได้ น้ำมะพร้าว ฤทธิ์เย็น เพิ่มธาตุน้ำหรือความชุ่มชื้น เป็นต้น |
|
ดังนั้นถ้าทานอาหารถูกกับร่างกายของตัวเอง ถูกทั้งเวลา ปริมาณ และ ชนิด อาหารชนิดนั้นจะเป็นยา ส่วนถ้าทานผิดชนิดก็จะเป็นพิษ ต่อให้อาหารชนิดนั้นมีประโยชน์มากเพียงใดก็ตาม ถ้าทานอาหารถูกกับร่างกายสุขภาพองค์รวมจะค่อยๆดีขึ้น เสมหะในปากคอจะลดน้อยลง ขับถ่ายดี ผิวไม่แห้ง ไม่มันเกิน ปากไม่แตก ท้องไม่อืด ไม่ร้อนหรือเย็นเกิน ๆลๆ แต่ถ้าทานอาหารชนิด ปริมาณ และ เวลา ไม่เหมาะกับร่างกาย (ต่อให้อาหารชนิดนั้นจะมีประโยชน์ ) จะไม่สบาย หนักเนื้อหนักตัว ปากแห้ง มีเสมหะเยอะ ร้อนใน ๆลๆ |
เนื่องจากร่างกายแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ธาตุหลักตามธรรมชาติก็แตกต่างกัน อย่างเช่น คนที่สภาพร่างกายพื้นฐานที่มีธาตุเย็น แห้ง ผิวแห้งง่าย (มีลม และ อากาศธาตุมาก) อาหารที่เหมาะกับเขา คือ อาหารที่มีอุณหภูมิ อุ่น ฤทธิ์ กลาง - อุ่น โดยเฉพาะมื้อเช้า มีความชุ่มชื้น มีส่วนผสมของน้ำ และ ไขมันชนิดดีเยอะ เพื่อที่จะทำให้ธาตุตามธรรมชาติสมดุล เช่น น้ำอุ่น มะละกอ น้ำมันเนย มันเทศ ๆลๆ ส่วนอาหารที่ไม่เหมาะ คือ อาหารที่มีอุณหภูมิเย็น ฤทธ์เย็นมาก อาหารแห้ง เช่น ผักที่มีรสชาติ ฝาด ขม ๆลๆ (ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู๋กับสภาวะร่างกายณปัจจุบันด้วย) แต่ถ้าคนอีกประเภทที่ร่างกายพื้นฐาน ธาตุร้อน ขี้ร้อน ทนร้อนไม่ได้ ผิวมันนิดๆ(ร้อนชื้น มีธาตุไฟ และ ธาตุน้ำในร่างกายมาก) ลักษณะอาหารที่เหมาะกับคนธาตุนี้ คือ อาหารที่มีฤทธิ์ กลาง - เย็น มีส่วนผสมของน้ำ และ ไขมันน้อยกว่า เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ผักที่มีรสชาติ ฝาด ขม ๆลๆ ถ้าคนลักษณะนี้ทานอาหารแบบเดียวกับลักษณะแรกก็จะป่วยเพราะอาหารดังกล่าวไม่เหมาะกับเขา ดังนั้นจะต้องเรียนรู้ร่างกายของตัวเองว่าเขาชอบแบบไหนไม่ชอบแบบไหน |
|
|
องค์ความรู้แพทย์แผนไทย |
![]() รสยา 9 รส |
★★ ช่วยร่างกายระบายสารพิษ ★★ |
|
เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย และ พลังชีวิตอย่างเพียงพอแล้ว เซลล์ต่างๆจะเริ่มมีแรงในการขับสารพิษออกจากตัวเองมากขึ้น สารพิษจะเคลื่อนที่ออกจากเซลล์ลงสู่กระแสเลือด และเคลื่อนออกจากร่างกายทางช่องทางระบายของเสียต่างๆ เช่น อุจจาระ (ลำไส้ใหญ่), ปัสสาวะ (ไต), เหงื่อ, ผื่น,สิว, กลิ่นตัว (ผิวหนัง), พลังงานเสีย (เส้นลมปราณ และ จุดจักระ), ลมหายใจ (ปอด ) ๆลๆ ดังนั้นเราจึงควรช่วยร่างกายระบายสารพิษออกด้วยวิธีต่างๆ เช่น การสวนล้างลำไส้ : ช่วยระบายสารพิษทางลำไส้ใหญ่ กัวซา : ช่วยระบายสารพิษออกทางผิวหนังในรูปของเหงื่อและผื่น , ช่วยการไหลเวียนของโลหิต, ช่วยระบายหลังงานเสียออกทางเส้นลมปราณ |
|
โยคะ และ ชี่กง : ช่วยระบายสารพิษออกทางปอด, ช่วยระบายหลังงานเสียออกทางเส้นลมปราณ เดินจงกรม หรือ เดินสวดมนตร์ : ช่วยการไหลเวียนของโลหิต, ช่วยระบายหลังงานเสียออกทางเส้นลมปราณ ออย์ลพูลลิ่ง : ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ, ช่วยทำให้ลมปราณไหลเวียนดีขึ้น, ช่วยฆ่าเชื้อโรคในช่องปาก ★ แนะนำให้ทำออยล์พูลลิ่งในอิริยาบทเดินพร้อมกับสวดมนตร์ไปด้วย จะทำให้ลมปราณไหลเวียนดีขึ้น ★ อบไอน้ำ ซาวน่า : ช่วยขับของเสียออกทางผิวหนัง แนะนำให้ทำโดยเฉพาะกับคนที่เหงื่อไม่ออก แพทย์ธรรมชาติบำบัดหลายท่านเล่าว่า หลังจากที่ผู้ป่วยได้ทำการกัวซา และสวนล้างลำไส้แล้ว อาการต่างๆทุเราลงมาก ดังนั้นสำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยจึงสามารถใช้ 2 วิธีนี้ในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็ว Note 2 การสวนล้างลำไส้ และ การกัวซาไม่จำเป็นต้องทำบ่อย เอาใว้เป็นตัวช่วยสำหรับระบายสารพิษเท่านั้น |
ลดสารพิษจากภายในร่างกาย |
ดำเนินกิจกรรมถูกเวลา - 3:00 - 5:00 น ตื่นนอน - หลังจากตื่นนอน (3:00 - 7:00 น) แปลงฟัน ดื่มน้ำอุ่น จากนั้นทำ ออยล์พูลลิ่ง โยคะ เดินสมาธิ นั่งสมาธิ - 7:00 - 9:00 น ทานอาหารมื้อหลัก หลังจากทานอาหารควรเดินสมาธิอย่างน้อย 15 นาที - 9:00 - 11:00 และ 13:00 - 15:00 น ไม่ควรทานอาหาร - 15:00 - 17:00 น ดื่มน้ำ,น้ำชา, น้ำผลไม้, ห้ามอั้นปัสสาวะช่วงนี้ - ไม่ควรออกกำลังกายหนักหลัง 17:00 น - ไม่ควรนอนหลับหลัง 5 ทุ่ม |
|
น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค |
![]() |
น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรคที่มีคุณภาพสูงมาก แม้แต่พระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นสัพพัญญูู ท่านยังแนะนำให้พระภิกษุใช้น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค นอกจากพระภิกษุแล้วยังมีผู้คนจำนวนมากรักษาโรคหายโดยใช้น้ำปัสสาวะช่วย สำหรับผู้ที่ยังทำใจไม่ได้ก็ยังไม่ต้องใช้ครับ แต่ควรศึกษาใว้เผื่อเป็นตัวเลือกนึงเวลาฉุกเฉิน น้ำปัสสาวะรักษาโรคได้อย่างไร? เช่น โรคไซนัส ภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ปวดประจำเดือน โรคตา มะเร็ง เนื้องอก เอดส์ เบาหวาน ท้องผูก ริดสีดวง ปวดข้อ ไมเกรน โลหิตจาง |
หลักปฎิบัติควบคู่ไปกับ วิธีดูแลสุขภาพ |
|
ทางสายกลาง หรือ ความพอดี “อะไร ที่เกินความพอดีมักจะไม่ประสบความสำเร็จ “ คำพูดนี้รวมถึงวิธีดูแลสุขภาพด้วย เช่น รับประทานอาหารเยอะหรือน้อยเกิน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากเกิน (ได้รับวิตามินหรือแร่ธาตุมากเกิน) ทำดีท๊อก มากเกินไป ฝึกสมาธินานเกิน ๆลๆ ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียให้กับร่างกาย |
|
ค่อยเป็นค่อยไป (step by step) การรักษาโรคด้วยวิธีธรรามชาติบำบัด ถ้าทำถูกต้องสุขภาพองค์รวมจะค่อยๆดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเรา (ไม่มีฤทธิ์) ถ้าป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการใช้ชีวิตผิดหลักธรรมชาติมานาน คงจะเป็นไปได้ยากที่จะรักษาโรคให้หายขาดภายใน 2-3 อาทิตย์ คุณต้องให้เวลากับร่างกายนานพอสมควร และไม่ควรรีบเร่งให้หายไว เพราะ ยิ่งรีบยิ่งเป็นการกดดันตัวเอง ส่งผลให้สุขภาพมีโอกาสที่จะแย่ลง ดังนั้นการดูแลสุขภาพควรจะทำแบบ ค่อยเป็นค่อยไป (step by step) ค่อยๆลดพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดี ค่อยๆเพิ่มในสิ่งที่ควรจะทำ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จะต้องมีความตั้งใจ ค่อยๆศึกษาทำความเข้าใจกับร่างกายของตัวเอง |